2011年6月21日星期二

คนไทยมาจากไหน

      จากที่ได้ศึกษาจากหนังสือทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไทยแล้วนั้น  สามารถสรุปเป็นแนวคิดกว้าง ๆ    ได้ 5 กลุ่มดังนี้คือ


1.    เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ถูกจีนรุกราน แล้วอพยพลงสู่ยูนานและแหลมอินโดจีน  นักวิชาการที่เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้คือ เตเรียน เดอร์ ลาคูเปอรี

2.     เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ในบริเวณเทือกเขาอัลไต  สรุปได้ว่าไทยเป็นเชื้อสายมองโกล เรียกว่าลาวหรือต้ามุง  เนื่องจากถูกขนเผ่าอื่นรุกรานจึงอพยพมาจากตอนกลางมาสู่ตอนใต้ของจีน และเข้าสู่อินโดจีน  นักวิชาการที่เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้คือ  วิลเลี่ยม คลิฟตันด๊อด

3.    เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยกระจัดกระจายทั่วไปในบริเวณตอนใต้ของจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ตลอดจนบริเวณ รัฐอัสสัมของอินเดีย  นักวิชาการที่เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้คือ  วูลแฟรม อีเบอร์ฮาด , เฟรเดอริก โมต , วิลเลียม  เก๊ดนีย์

4.     เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ในบริเวณเนื้อที่ประเทศไทยปัจจุบัน  เนื่องจากมีการตรวจวิเคราะห์โครงกระดูกในยุคหินใหม่ ที่ขุดค้นพบในประเทศไทย  นักวิชาการที่เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้คือ  นายแพทย์สุด  แสงวิเชียร , ศาสตราจารย์ ชิน  อยู่ดี

5.     เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอาจอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู  หรือบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย  และค่อย ๆ แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของจีน  เนื่องจากมีการเปรียบเทียบหมู่เลือด และความถี่ของยีน  นักวิชาการที่เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้คือ  นายแพทย์สมศักดิ์  พันธุ์สมบูรณ์ , นายแพทย์ประเวศ  วะสี

  จากทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้  สามารถสรุปรวมกันได้คือ  คนไทยมีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ที่เป็นทวีปเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปัจจุบัน   คือจากประเทศจีน  ประเทศไทย  และประเทศแถบอินโดนีเซีย 
ขอบคุณที่มา:http://www.oknation.net/blog/khirisri/2008/04/01/entry-1
ภาพที่มาhttp://www.google.com/search?um=1&hl=zh-CN&biw=1140&bih=491&tbm=isch&sa=1&q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2&btnG=Google+%E6%90%9C%E7%B4%A2&oq=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2&aq=f&aqi=&aql=&gs_sm=s&gs_upl=15737l17070l0l19209l8l7l0l0l0l2l298l1099l2-4l4

2011年6月13日星期一

ประวัติศาสตร์คืออะไร

นักประวัติศาสตร์คนแรก
เป็น “บิดาแห่งประวัติศาสตร์”
คำว่า “ประวัติศาสตร์” ใช้กันใน 2 ลักษณะคือ
  • ประวัติศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ หรือสร้างแนวความคิดไว้ทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือธรรมชาติที่มีผลต่อมนุษยชาติ
  • ประวัติศาสตร์ ได้แก่ เหตุการณ์ในอดีตที่นักประวัติศาสตร์ได้สืบสวนค้นคว้าแสวงหาหลักฐานมารวบรวมและเรียบเรียงขึ้น เนื่องจากเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตมีขอบเขตกว้างขวาง และมีความสำคัญแตกต่างมากน้อยลดหลั่นกันไป นักวิทยาศาสตร์จึงหยิบยกขึ้นมาศึกษาเฉพาะแต่สิ่งที่ตนเห็นว่ามีความหมายและมีความสำคัญ
เนื้อหาที่มา:http://www.baanjomyut.com/library/hist.html
ข้อมูลที่ขยาย:http://e29jbx.blogspot.com/2010/10/blog-post_24.html

2011年6月7日星期二

เมืองซูโจ(จีน)

     เมืองซูโจวมีชื่อเดิมว่า "เมืองกู่ซู" เมืองซูโจวเป็นเมืองที่มีความสวยงามไม่น้อยกว่าเมืองหังโจว ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,500 ปี และได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่งสาวงาม ” ซึ่งอดีตในแถบนี้ได้ชื่อว่า “เจียงหนาน” อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและสาวเจียงหนานที่มีความสวยงามเป็นเลิศ เป็นสถานที่ที่มีสวนคลองต่างๆมากมาย เป็นอันดับหนึ่งในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนใต้และได้ชื่อวาเป็นเมืองแห่งสาวงามอีกทั้งเป็นเมืองที่งดงามมากจนได้รับฉายาว่า “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์” สิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายแบบจีนในเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน  เมืองซูโจวได้ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2540
     
สุดยอดสวนโบราณซูโจวที่เลื่องชื่อและเป็นมรดกโลก ได้แก่
  1.สวนจัวเจิ้ง เป็นสวนที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง รัชกาลเจิงเต๋อ ปีที่ 4 ตรงกับค.ศ.1509 มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของสวนโบราณทั้งหมดในเมืองซูโจว ถึง 51,590 ตรม. โดดเด่นในด้านภูมิทัศน์ทางน้ำซึ่งกินพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด โชว์ศิลปะการไหลเวียนตามธรรมชาติ ที่เรียบง่ายแบบคลาสิคสมัยหมิง นอกจากนี้ ยังตบแต่งประดับประดาด้วยโคลงคู่และภาพวาดพู่กันจีน เนื่องจากมีศิลปินกวีแห่งเจียงหนันร่วมในการออกแบบ

สวนหวั่งซือ



วัดซีหยวน
โรงงานผ้าไหม

ขอขอบคุณที่มา:http://www.abroad-tour.com/china/zhuzhou/


                        

2011年6月5日星期日

หลักฐานทางประวัติศาสตร์


   หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ร่องรอยการกระทำ การพูด การเขียน การประดิษฐ์ การอยู่อาศัยของมนุษย์ หรือลึกไปกว่าที่ปรากฏอยู่ภายนอก คือ ความคิดอ่าน โลกทัศน์ ความรู้สึก ประเพณีปฏิบัติของมนุษย์ในอดีต ความรู้สึกของคนในปัจจุบัน สิ่งที่มนุษย์จับต้องและทิ้งร่องรอยไว้ กล่าวได้ว่าอะไรก็ตามที่มาเกี่ยวพันกับมนุษย์ หรือมนุษย์เข้าไปเกี่ยวพันสามารถใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ทั้งสิ้น
    การแบ่งประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
๑) แบ่งตามยุคสมัย      
(
๑) หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานที่เกิดขึ้นในสมัยที่ยังไม่มีการบันทึกเป็นอักษร แต่เป็นพวกซากโครงกระดูกมนุษย์ ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของชุมชน ตลอดจนความพยายามที่จะถ่ายทอประสบการณ์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในลักษณะของการบอกเล่าต่อๆกันมา เป็นนิทานหรือตำนานซึ่งเราเรียกว่ามุขปาฐะ
(
๒) หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานสมัยที่มนุษย์สามารถประดิษฐ์ตัวอักษร และบันทึกในวัสดุต่างๆ มีร่องรอยที่แน่นอนเกี่ยวกับสังคมเมือง มีการรู้จักใช้เหล็ก และโลหะอื่นๆ มาเป็นเครื่องมือใช้สอยที่ปราณีต มีร่องรอยศาสนสถานและประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาอย่างชัดเจน
๒)       แบ่งตามลักษณะหรือวิธีการบันทึก
(
๑)      หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารึก ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหต บันทึกความทรงจำ เอกสารทางวิชาการ ชีวประวัติ จดหมายส่วนตัว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร กฎหมาย วรรณกรรม ตำรา วิทยานิพนธ์ งานวิจัย ในการศึกษาประวัติศาสตร์ใประเทศไทย มีการเน้นการฝึกฝนทักษะการใช้หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษร เป็นส่วนใหญ่ จนอาจกล่าวได้ว่าหลักฐานประเภทนี้เป็นแก่นของงานทางประวัติศาสตร์ไทย
(
๒)     หลักฐานไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานโบราณคดี เช่น โบราณสถานโบราณวัตถุ เงินตรา หลักฐานจากการบอกเล่า ที่เรียกว่า มุขปาฐะหลักฐานด้านภาษา เกี่ยวกับพัฒนาการของภาษาพูด หลักฐานทางศิลปกรรม ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ หลักฐานประเภทโสตทัศน์ ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพสไสด์ แผนที่ โปสเตอร์ แถบบันทึกเสียง แผ่นเสียง ภาพยนตร์ ดวงตราไปรษณียากร
๓)       แบ่งตามลำดับความสำคัญ
(
๑)  หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ (Primary sources) หมายถึง หลักฐานที่บันทึก สร้าง หรือจัดทำขึ้น โดยผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง หรือบ่งบอกให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นจริงๆ ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น สนธิสัญญา บันทึกคำให้การจดหมายเหตุ กฎหมาย ประกาศของทางราชการ ศิลาจารึก จดหมายโต้ตอบ และที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ภาพเขียนสีผนังถ้ำ เครื่องมือเคื่องใช้ เครื่องประดับ เจดีย์
(
๒)  หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary sources) หมายถึง หลักฐานที่เกิดจากการนำหลักฐานชั้นต้นมาวิเคราะห์ ตีความเมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้ว ได้แก่ ตำนานพงศาวดาร
ขอขอบคุณ http://tick-skywalker.blogspot.com/2006/08/blog-post_08.html